แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย
ด้วยความปรารถนาดีจาก สสส.
ปล.กระผมในฐานะพลเมืองดี คราวนี้งดออกเสียงครับ ไม่ได้ประท้วง แต่นอนจนไม่รู้เรื่อง เลยไม่ได้ขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกพื้นที่ บ้านก็ไม่มีตังค์กลับ
อยากรุ้ว่าทำอะไรได้บ้าง ก็พิมพ์ >help แล้วเค้าจะบอกเองว่าเค้าทำไรได้บ้าง
ขอให้สนุกกับเพื่อนใหม่เน้อออ
มาว่ากันเรื่องนี้ซะหน่อย กำลังเป็นประเด็นเลย จริงๆที่เขียนเรื่องนี้เพราะเผอิญตัวเองได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่คุณตาคุณยายและพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งมาประท้วงด้วย
"นานาจิตตังครับ"
เรื่องนี้เป็นเรื่องของมุมมองที่แตกต่างกันของศิลปิน กับคณะผู้เฒ่าที่ยังไม่ได้ทำเลสิก(เลสิก : กระบวนการทำให้สายตากลับมามองได้ชัดเจน โดยไม่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์)
มีคุณยายท่านหนึ่งถามผมว่า นี่เค้าเรียกงานศิลปะเหรอ ทำไมเอาพระมาล้อเลียนอย่างนี้ ถ้าให้เค้าวาดรูปพ่อแม่ตัวเองบ้างจะทำมั๊ย ผมก็ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ แล้วก็สังเกตการณ์ต่อไป (ตามประสาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับคนแก่อยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะรำคาญหรอกนะ แต่ว่าคุยยาก อธิบายไปถึงยังไงก็ไม่ยอมทำความเข้าใจอยู่ดี)
หันไปมองรอบๆตัว เจอป้ายผ้าเขียนว่า"ศิลเปอะ" (-_-") ,เสียงพระสวดอะไรสักอย่าง , พระใช้กล้องมือถือถ่ายรูป , คุณตายืนดมยาดม , แม่ชียืนหลบแดด , ใครไม่รุ้แต่งตัวยังกะโฆษกมวย มายืนเรียกร้องกันปาวๆๆ เสียงด่า สาปแช่ง จากปากคุณยายชี หลังจากนั้นกลุ่มผู้คร่ำครึในกระพี้ก็เคลื่อนขบวนไปเรียกร้องกันที่ไหนต่อก็ไม่รุ้ ...ช่างเค้าเหอะ
ภาพชิ้นนี้เป็นผลงานของศิลปินชื่อ อนุพงษ์ จันทร ศิษย์เก่าคณะจิตรกรรม ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่ม.ลาดกระบังครับ ตัวศิลปินเองก็บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเจอกระแสต่อต้าน และยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาแต่อย่างใด ภาพนี้วาดจากจีวร และพระในภาพมีปากเหมือนอีกา รอยสักตามตัวเป็นรูปสัตว์กำลังผสมพันธุ์กัน (ผมเองก็เคยผ่านตาผลงานของศิลปินท่านนี้มาบ้าง แต่ไม่ใช่ภาพนี้นะ เป็นโปสเตอร์ประกอบงานประกวดศิลปินปีก่อนๆนี่แหละครับ แปะอยู่ที่หน้าหอ เป็นภาพที่ดึงดูดให้ยืนดูได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว กะว่าพอหมดโครงการจะไปขอมาแปะหน้าห้องตัวเองซะหน่อย ดันมีคนตัดหน้าซะนี่ )
ส่วนตัวอยากให้มองว่าภาพนี้เป็นการสะท้อนภาพของสังคมผู้ห่มผ้าเหลืองในปัจจุบัน มิใช่การล้อเลียนเพื่อความสนุกสนาน อย่างที่ฝรั่งมันเอารูปพระพุทธเจ้ามาสกรีนเป็นลายกกน. มันคนละวัตถุประสงค์ คนละเรื่องกันเลยนะ หากเรามัวมองกระจกที่สะท้อนแต่ภาพลวงที่เรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวหน้าใสเปรี๊ยะ เราก็จะไม่มีวันเห็นแผลเน่าเฟะ ไม่มีวันรู้เลยว่าเรามีขี้กลากตรงไหนบ้าง
แล้วคำว่าภิกษุสันดานกานี่ก็มีอยู่แล้วนะครับในพระไตรปิฎก ไม่ได้บัญญัติศัพท์มาเรียกลอยๆ เข้าใจว่าสมัยก่อนก็คงมีบุคคลบางจำพวกที่บวชเข้ามาเป็นกาฝากศาสนา ทำตัวไม่สมกับอยู่ในผ้าเหลืองมิใช่น้อย เลยมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกด้วย แต่ผู้ชุมนุมท่านกล่าวว่าเรื่องนี้ได้ศึกษามาแล้ว เนื้อความไม่ได้สื่อรุนแรงถึงขนาดที่ภาพของคุณอนุพงษ์สื่อออกมา
"แม่วัวกำลังจะตกลูก ศิลปินเดินผ่านมาวาดภาพลูกวัวนั้นเป็นลูกหมาป่าแทน ถามว่าแม่วัวตัวนั้นจะตกลูกเป็นหมาป่าหรือ?"
แก่นของศาสนาในความคิดของผม คือการเดินทางสายกลาง ปล่อยวาง ไม่ยึดติดไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้าย แต่ว่าที่เห็นในปัจจุบันศาสนามันมีแต่คนคิดถึงเรื่องของเปลือกและกระพี้ (กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่ไม่ใช่แก่น มักใช้เปรียบสิ่งที่ไร้แก่น ไร้สาระ)
เมื่อตะกี๊ไปอ่านข่าวในเว็บต่างๆมามีคอมเม้นท์ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย อันนี้ก็ต้องไปอ่านกันเอาเองนะครับว่าฝ่ายไหนใช้ปัญญาในการตอบมากกว่ากัน...
เนื่องจากผมอยากเป็นกลางนะครับ เลยไม่อยากเขียนเพิ่ม กลัวว่าจะบ่นอะไรจาบจ้วงล่วงเกินพระสงฆ์แถวพันธุ์ทิพย์ กุฎิติดแอร์ พระเซนซิทีฟที่ฟังเพลงรักแทนบทสวด พระที่ไม่ยอมบอกลาแฟนก่อนจะบวชแล้วดันโทรคุยกันทุกคืน เณรพนันบอล พระที่เก็บตงค์รอวันสึก พระที่หารายได้จากชื่อเสียงด้านวัตถุมงคลและสมณศักดิ์ พระค้ายาบ้า เณรจัดปาร์ตี้...
ที่ว่ามาเนี่ย เนื่องด้วยผมเคยบวชมาระยะเวลาสั้นๆก็พอจะรุ้บ้าง ใครไม่เคยบวชพระสมัยนี้ คงไม่รุ้หรอกนะครับว่าพระในยุคนี้น่ะเป็นยังไง พระที่ดีก็มีนะไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่ที่ต้องพูดถึงฝ่ายที่ทำตัวไม่เหมาะ ก็เพราะอยากให้คงเหลือแต่พระที่ดีไง
บางทีสังคมไทยเราน่าจะเลิกถวายปัจจัยที่เป็นเงิน และเครื่องอำนวยความสะดวกที่เวอร์เกิน จะได้มีพระที่ตั้งใจสืบทอดศาสนาจริงๆให้เรากราบไหว้อย่างไม่รุ้สึกตะขิดตะขวงใจ